วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

10.สิ่งทบี่ญัญตั้งไว้ในรัฐธรรมนูญ

10.สิ่งทบี่ญัญตั้งไว้ในรัฐธรรมนูญ 
‘องค์กรอิสระ’ต้องแจงบัญชีฯ ปชป.ชูเลือกผู้บริหารจังหวัด บิ๊กตู่ฉะสื่อขยายความปิดปท.

“ประยุทธ์” โต้วุ่นวาทะร้อนปิดประเทศทุบหุ้นดิ่งเหวโบ้ยสื่อขายความขัดแย้ง ย้อนก่อน 22 พ.ค. ประท้วงเต็มเมือง นักท่องเที่ยวหนี ปิดประเทศหรือเปล่า เมินโหร คมช. ทำนายดวงดีอยู่อีก 2-3 ปี บ่นลากยาวอยู่ไปก็ไลฟ์บอย “มีชัย” รอฟังเสียงวิจารณ์ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม อะไรต่อยอดได้จะเอามาคิด ปักธง ส.ส.มีไม่เกิน 500 คน เพื่อไทยจัดหนักส่ง จม.เปิดผนึก ชงห้ามนิรโทษคนล้มล้างรธน. หลังเลือกตั้ง 1 ปี ตั้ง สสร.ร่างกติกาใหม่ จี้ตุลาการ-องค์กรอิสระต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ด้าน “อภิสิทธิ์” บี้ยกเครื่อง กกต. สกัดทุจริตเลือกตั้ง ปิดตายประชานิยม ปล่อยผีแนวร่วมม็อบ “นิพิฏฐ์” ซัดผิดเพี้ยนค้านดึงคะแนนผู้แพ้ไปคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขัดเจตนารมณ์คนกาบัตร “บิ๊กตู่” ปัดรังแก “ปู” งัด ม.44 คุ้มครอง จนท.พ้นอำนาจมืด พท.โวยลั่นตัดสิทธิผู้เสียหาย

จากกรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นำเสนอรูปแบบการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม นำคะแนนผู้ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ไปคำนวณเป็นคะแนน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ ทยอยส่งความเห็นการร่างรัฐธรรมนูญไปให้ กรธ.พิจารณา

“มีชัย” รอฟังเสียงวิจารณ์ระบบ ลต.

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาหมวดเกี่ยวกับองค์กรอิสระ โดยนายมีชัยกล่าวก่อนการประชุมถึงความเห็นของบางพรรคการเมืองที่ขัดแย้งต่อระบบเลือกตั้งส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมของ กรธ.ว่า ต้องรับฟังและพิจารณาว่ามีความเห็นอะไรที่มันเป็นจุดที่คิดต่อยอดได้ จะนำมาคิดต่อ หรือหากเขาไม่เข้าใจก็อธิบายให้เข้าใจ ส่วน ครม.และ คสช.ยังไม่ได้ส่งความเห็นมา การรับฟังความเห็นเปิดกว้างเท่ากันหมด จะไม่ถามเฉพาะประเด็น เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวได้ว่าเรื่องอื่นเสนอไม่ได้ ส่วนระบบบริหารน่าจะประมาณอีก 2 สัปดาห์จะเข้าที่ประชุม ตอนนี้ขอเอาเรื่องฝ่ายนิติบัญญัติให้ซาๆก่อน ล่าสุดการพิจารณาเรื่องที่มา ส.ส.จบแล้ว หลักการ ส.ส.ต้องมาจากการเลือกตั้ง จำนวน ส.ส.คงมีไม่เกิน 500 คน เหตุที่ใช้หลัก 500 คน เพราะเป็นหลักที่คุ้นกันมาแล้ว ส่วนจะแบ่ง ส.ส.เขตเท่าใด ส.ส.บัญชีรายชื่อเท่าใดกำลังพิจารณา


สกัดท้องถิ่นทุจริตเท่าระดับชาติ

นายมีชัยกล่าวว่า ส่วนการปรับโครงสร้างองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นว่า จะคงเจตนารมณ์ต้องกระจายอำนาจท้องถิ่นอยู่ ประเทศไทยมาไกลเกินกว่าจะไปรวมแล้ว ส่วนเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นต้องไปพิจารณา แต่ในรัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ไม่ได้ สถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการเขียนรัฐธรรมนูญให้ผูกมัดไว้ รายละเอียดจะไปเขียนไว้ในกฎหมายลูก เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ สปช.และ สนช. เสนอให้ควบรวม อบต.ที่ไม่พร้อม นายมีชัยกล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องข้อเสนอนั้น แต่การเขียนรัฐธรรมนูญจะไม่ระบุว่ามีอะไรไว้บ้าง แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ส่วน สปท.จะคิดไปแก้กฎหมายนั้นพ้นวิสัยที่จะรู้ สำหรับกลไกป้องกันปัญหาทุจริตในท้องถิ่นต้องเข้มขึ้นเหมือนกับระดับชาติ ตอนนี้กฤษฎีกากำลังแก้กฎหมายท้องถิ่นอยู่ ต้องใช้มาตรฐานใกล้เคียงกับระดับชาติ คนทุจริตต้องถูกตัดสิทธิ

“สมบัติ” ฉะบิดเบือนไม่ตอบโจทย์ ปชต.

นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช. โพสต์เฟชบุ๊กถึงการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสมว่า เห็นปัญหาเบื้องต้นหลายประการ คือ การนำเฉพาะคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตที่แพ้มาเป็นคะแนนวัดความนิยมของพรรคเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างชัดเจน เพราะคะแนนของประชาชนที่เลือกผู้ชนะจาก ส.ส.เขตจะถูกตัดทิ้งไปไม่นำมาคำนวณเป็นคะแนนนิยมของพรรคที่ ส.ส.เขตได้รับเลือกตั้ง กรณีนี้เท่ากับว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นตัวแทนของผู้แพ้ในเขตเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนจากเจตนารมณ์ของประชาชนที่นิยมพรรคการเมือง การเลือกตั้ง ส.ส.เขต ประชาชนอาจมีเหตุผลแตกต่างกัน บางส่วนอาจเลือกเพราะนิยมตัวบุคคล ไม่ได้นิยมพรรค แต่บางส่วนอาจนิยมพรรค ไม่ว่าพรรคส่งใครมาก็เลือก ดังนั้น วิธีการที่ กรธ.เรียกว่าระบบการจัดสรรปันส่วนผสมจึงไม่สะท้อนเจตนารมณ์การเลือกตั้งของประชาชน และที่สำคัญคือไม่สะท้อนหลักความเที่ยงธรรมในระบอบประชาธิปไตย พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือเรื่องสองเรื่องนี้นำมาผสมกันไม่ได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน

ซื้อเสียงไม่ลด–นับปาร์ตี้ลิสต์ไม่ได้

นายสมบัติกล่าวต่อว่า การซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้งทั่วไป มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า การจัดการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวทำให้การซื้อเสียงรุนแรงและได้ผลที่สุด คนแพ้ก็ซื้อด้วยแต่ซื้อสู้ไม่ได้ บางครั้งคนแพ้อาจจ่ายเงินมากกว่าคนชนะด้วยซ้ำ ดังนั้น การเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วน จึงไม่ช่วยลดการซื้อสิทธิขายเสียงแต่อย่างใด ระบบนี้จะยังคงมีปัญหาในทางปฏิบัติเพราะมีโอกาสที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจะถูกใบเหลืองหรือใบแดง จนยังไม่มีผู้ชนะผู้แพ้ที่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถประกาศส.ส.บัญชีรายชื่อได้ และถ้า ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นเขตประเทศ จะทำให้ประกาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้เลย

สปท.เปิดเวทีระดมความเห็น

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ทำหนังสือถึงประธาน สปท.ขอรับทราบความเห็น ดังนั้น สปท.จะเปิดประชุมวาระอภิปรายทั่วไป คาดว่าจะเป็นวันที่ 10 พ.ย. เพื่อให้สมาชิก สปท.แสดงความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญส่งให้ กรธ.ทราบต่อไป

พท.ยัน รธน.ต้องไม่ขัดแย้งกับสากล

ช่วงเช้าวันเดียวกัน พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่พรรคเดินทางไปที่รัฐสภา นำจดหมายเปิดผนึกเรื่องข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญไปส่งถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ลงนามโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีเนื้อหาดังนี้ 1.รัฐธรรมนูญที่มีความเป็นสากลคือรัฐธรรมนูญที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และให้ประชาชนมีสิทธิตัดสินใจในการเลือกตั้งทุกรูปแบบ องค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ศาลหรือองค์กรอิสระ ล้วนต้องมาจากประชาชนหรือเชื่อมโยงกับประชาชน 2.การจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรต่างๆ ต้องมีดุลยภาพและถูกตรวจสอบได้ ไม่ให้องค์กรหนึ่งองค์กรใดอยู่เหนือองค์กรอื่น หรือกำหนดให้ฝ่ายบริหารอ่อนแอ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 3.รัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความเป็นไทยคือ การเรียนรู้จากพัฒนาการรัฐธรรมนูญที่ตกผลึกในช่วง 83 ปี โดยไม่ขัดแย้งกับหลักสากล เช่น การที่นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง ประธานรัฐสภาต้องมาจากประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง การมีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ตีความ วินิจฉัยปัญหาต่างๆตามรัฐธรรมนูญ ต้องมีระบบเลือกตั้งที่ประชาชนเข้าใจง่ายสัมผัสได้

ห้ามนิรโทษฯผู้ล้มล้าง รธน.

4.การบัญญัติให้ทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม เป็นสิ่งที่ดีและควรสานต่อ แต่ต้องมีวิธีการให้ประชาชนเข้าใจว่าหลักนิติธรรมที่ถูกต้องและเป็นสากลคืออะไร หลักนิติธรรมที่ถูกบิดเบือนเป็นอย่างไรต้องกำหนดให้มีระบบและกลไกตรวจสอบศาลและองค์กรอิสระ การกำหนดให้บุคลากรระดับสูง ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณะไม่ใช่กำหนดแต่รัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภา การรายงานผลการดำเนินงานของศาลและองค์กรอิสระต่อรัฐสภา 5.ต้องกำหนดห้ามการนิรโทษกรรมแก่ผู้ล้มล้างรัฐธรรมนูญและสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2517 และต้องกำหนดให้บทบัญญัติเช่นนี้เป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

หลัง ลต.1 ปีตั้ง สสร.ร่างกติกาใหม่

6.ต้องกำหนดในร่างรัฐธรรมนูญนี้ว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ภายใน 180 วันหรือ 1 ปีต้องให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงทั่วประเทศ มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม จากนั้นไปทำประชามติ หากผ่านจึงไปสู่การบังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญฉบับนั้นต่อไป 7.การตัดสิทธิเลือกตั้งนักการเมืองหรือบุคคลใดก็ตามที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าประพฤติมิชอบหรือทุจริตการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล แต่ต้องชัดเจนว่ากรณีนั้นๆ เกิดขึ้นตามระบบปกติ ไม่ใช่ผลพวงของการรัฐประหาร และบุคคลผู้ถูกตัดสิทธิต้องถูกดำเนินคดีโดยชอบ และจะต้องไม่กำหนดให้เป็นโทษย้อนหลัง 8.ควรกำหนดไม่ให้บุคคลที่แสดงตนไม่ว่าทางความคิดเห็นหรือการกระทำใดโดยชัดแจ้งว่า เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย หรือได้ตำแหน่งหรือผลประโยชน์ใดๆ จากการรัฐประหาร ดำรง ตำแหน่งใดๆในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ 9.ต้องให้มีความชัดเจนและตรงไปตรงมาในหลักการและกรอบต่างๆ มิเช่นนั้นผู้จัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก อาจอาศัยความไม่ชัดเจนและการซ่อนเงื่อน ไปกำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก 10.การปฏิรูปประเทศ ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาไปอย่างยั่งยืน ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรับฟังซึ่งกันและกัน การวิพากษ์ตนเอง การยอมรับที่จะปรับปรุงตนเอง การไม่ใช้อคติและการมีท่าทีที่ดีต่อกัน

“เรืองไกร” เสนอ 2 โมเดลเลือกตั้ง

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จะนำเสนอโมเดลเรื่องการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมให้ทางพรรคไป 2 แนวทาง แนวทางที่ 1 คือให้จัดเลือกตั้งแบบเขตไปทั้ง 500 เขต ไม่ต้องมีบัญชีรายชื่อ แนวทางที่ 2 คือ แบบที่ กรธ.เสนอคือ 400 บวก 100 โดย 400 มาจากการเลือกตั้งแบบเขต และ 100 มาจากการเอาคะแนนมารวมเพื่อจัดบัญชีรายชื่อ โดยเอาคะแนนทุกคะแนนมารวม ไม่ใช่เฉพาะคะแนนของผู้แพ้ หากเอาเฉพาะคะแนนคนแพ้ไม่แฟร์กับคนชนะ ไม่เห็นคุณค่าของคะแนนเสียงของประชาชนอย่างเท่าเทียมแนวทางนี้คล้ายกับวิธีที่วงการนักกอล์ฟใช้ และการจัดอันดับแชมป์จีพีเอ ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจะถูกเก็บคะแนนสะสมไว้ ถ้า กรธ.ยึดหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมตามกติกาประชาธิปไตย ไม่ควรตัดคะแนนเสียงข้างมากหรือผู้ชนะ

“มาร์ค” ชงเลือกตั้งผู้บริหารจังหวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า ในวันที่ 4 พ.ย. เวลา 13.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือเสนอความเห็นเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมอบหมายให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นต่อนายมีชัย ที่รัฐสภา โดยสรุปใจความว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหาร ขอให้ยึดหลักการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน และอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตย จึงขอเสนอหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญคือ 1.ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมในระบบรัฐสภา 2.ประชาชนมีหลักประกัน ขั้นพื้นฐานเรื่องเสรีภาพและการมีส่วนร่วม ไม่น้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 3.การกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ต้องมีหลักประกันว่าอปท.ต้องได้รับการกระจายอำนาจไม่น้อยกว่าบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 2550 และผลักดันให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะระดับจังหวัดให้มีผู้บริหารจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งควบคู่กับกลไกการตรวจสอบ 4.มีระบบเลือกตั้ง ส.ส.ที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนให้ความสำคัญกับคะแนนเสียงของประชาชน โดยหลีกเลี่ยงการสร้างความแตกแยกจากการแข่งขันที่รุนแรง

จี้รื้อ กกต.–ปิดตายประชานิยม

5.ปรับปรุงกลไกจัดระบบการเลือกตั้งให้สุจริตเป็นธรรม ที่จัดการปัญหาซื้อสิทธิขายเสียงทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและเด็ดขาด รวมถึงการแก้ปัญหาการใช้นโยบายที่เสียหายต่อประเทศและกับคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง 6.ส่งเสริมพรรคการเมืองให้เข้มแข็งตรวจสอบนักการเมืองในสังกัด และทำพรรคการเมืองให้เป็นของประชาชนแท้จริง ไม่ใช่เครื่องมือของนักการเมือง หรือบุคคลใดหรือกลุ่มทุน สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมบริหารจัดการและคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง 7.มีระบบตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐอย่างมีดุลยภาพ และประสิทธิภาพ เพื่อให้การใช้อำนาจอยู่ใต้หลักนิติรัฐ นิติธรรม โปร่งใส ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ องค์กรอิสระ 8.มีมาตรการจัดการกับการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลรวดเร็วทันเวลา

นิรโทษเฉพาะปชช.ร่วมม็อบ

9.กำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศที่มีความสำคัญเร่งด่วน พร้อมหลักการ สาระ การปฏิรูปที่ชัดเจน โดยให้ประชาขนเห็นชอบในการจัดประชามติเพื่อเป็นข้อผูกมัดรัฐบาลในอนาคตเพื่อให้สานต่อการปฏิรูปเหล่านั้น 10.การสร้างความปรองดองโดยให้ความสำคัญกับการสร้างบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในอนาคตเพื่อแก้ปัญหาการสร้างความเกลียดชัง โดยเฉพาะผ่านการสื่อสารมวลชน ส่วนการพิจารณาดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตควรให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมจนจบสิ้นกระบวนความ สำหรับกรณีนิรโทษกรรมควรจำกัดเฉพาะการทำความผิดของประชาชนที่ร่วมชุมนุมทางการเมือง หรือเป็นความผิดที่มีโทษเล็กน้อยเท่านั้น

ปชป.ค้านใช้แต้มผู้แพ้คิดปาร์ตี้ลิสต์

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการทำความเห็นเสนอ กรธ. ของนายอภิสิทธิ์ ว่าเป็นการทำความเห็นในนามส่วนตัวเป็นภาพรวม ที่หัวหน้าพรรคจะไม่ลงในรายละเอียดเพราะจะเป็นการกดดันชี้นำตีกรอบต่อ กรธ. จึงระบุหลักการถ่วงดุลการตรวจสอบการใช้อำนาจ การไม่ให้มีนโยบายประชานิยมที่สร้างความเสียหายแก่ ประเทศชาติโดยไม่รับผิดชอบ การเลือกตั้งต้องสุจริตโปร่งใส มีบทลงโทษผู้ทุจริตไม่ให้กลับสู่วงการเมืองให้มีผลทำได้จริง ส่วนระบบเลือกตั้งเห็นด้วยในหลักการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนที่ประชาชนเลือกต้องไม่สูญเปล่า แต่เห็นต่างกับการนำคะแนนของผู้แพ้ในระบบเขตมาคำนวนได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคนเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีโอกาสที่จะขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งอื่นๆ หากใช้หลักการนี้ก็จะผิดเพี้ยน เพราะไม่เป็นเหตุเป็นผล จึงขอให้ กรธ.ทบทวน เมื่อถามว่าที่ระบุ ถึงการกระจายอำนาจให้ อปท.เลือกตั้งผู้บริหารระดับจังหวัด หมายความถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯหรือไม่ นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า หากเขียนระบุชัดว่าให้เลือกตั้งผู้ว่าฯจะไปตัดการบริหารราชการภูมิภาคทิ้งไป บางคนอาจตีความว่าต้องจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯทุกจังหวัดแทน รัฐบาล คสช.มีนโยบายว่าจะคงการปกครองส่วนภูมิภาคที่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านไว้ จึงใช้คำกลางๆที่ไม่ส่งผลกระทบก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก หากจังหวัดใดมีความพร้อมก็จัดเลือกตั้งไปก่อน เป็นต้น

กปปส.ยันไม่เอาเผด็จการรัฐสภา

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส.และกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) กล่าวว่า ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม น่าจะเป็นการโยนหินถามทางให้เกิดการวิจารณ์ถึงข้อดีข้อเสียมากกว่า ตนไม่ติดใจเรื่องระบบการเลือกตั้ง แต่หลักใหญ่ของ กปปส.คือต้องไม่ทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภาอีก ต้องไม่ให้พรรคการเมืองถูกกลุ่มทุนเข้ามายึดหรือชี้นำ ส.ส. และจัดการกับปัญหาทุจริตซื้อสิทธิขายเสียง สัปดาห์หน้า กปปส.จะเข้ามาเสนอความเห็นต่อ กรธ.

ยื่นขอบรรจุต้านโกงใส่ใน รธน.

ช่วงบ่าย ที่รัฐสภา นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรฯ เข้ายื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการบัญญัติหลักการเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันไว้ในรัฐธรรมนูญ ถึงนายมีชัย ผ่านนายธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย กรธ. มีสาระสำคัญ อาทิ การให้ประชาชนได้รับการคุ้มครอง มีสิทธิตรวจสอบและฟ้องดำเนินคดีกับรัฐได้ และมีสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ขณะที่องค์กรที่ใช้เงินแผ่นดินต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนวิจารณ์ได้ ปรับปรุงกฎหมายให้คนโกงถูกลงโทษอย่างรุนแรง ตลอดจนหาทางแก้นโยบายประชานิยมที่ขาดความรับผิดชอบ ห้ามผู้ต้องคดีคอร์รัปชันลงสมัครรับเลือกตั้ง และแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเป็นธรรม ไม่เอื้อพวกพ้อง ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนคดีทุจริตที่สำคัญต้องมีศาลพิจารณาเป็นการเฉพาะ

1 เดือน สปท.เห็นแนวทางปฏิรูป

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ และ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ทีมโฆษก สปท. แถลงถึงแนวทางการทำงานของ สปท. โดยนายคำนูณกล่าวว่า ร.อ. ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท.จะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการดำรงตำแหน่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญปฏิรูปประเทศทั้ง 11 คณะ จะเกลี่ยรายชื่อไปตาม กมธ.สามัญชุดต่างๆ ส่วนตำแหน่งประธานและรองประธาน กมธ.สามัญการปฏิรูปชุดต่างๆ แม้ประธาน สปท.จะมีอำนาจแต่งตั้งเองได้ แต่ประธาน สปท.จะตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาบุคคลมาดำรงตำแหน่งให้รอบคอบ

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ โฆษก สปท. กล่าวว่า การทำงานของ สปท.จะยึดตามกรอบวาระและข้อมูลที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ศึกษาไว้ และเลือกเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนขึ้นมาดำเนินการก่อน เชื่อว่าภายใน 1 เดือน กมธ.สามัญปฏิรูปทุกชุด จะสรุปแนวทางการทำงานส่งมาให้ที่ประชุม สปท.พิจารณาได้

เชิญทูตไทย-ตปท.ฟังเป้าหมาย

นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ โฆษก สปท. กล่าวว่า ในวันที่ 11 พ.ย. เวลา 10.00 น. สปท.จะเชิญคณะทูตต่างๆประจำประเทศไทย จำนวน 76 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 19 องค์กร มารับฟังแนวทางการปฏิรูปประเทศของ สปท.ที่รัฐสภา เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและแนวทางการปฏิรูปประเทศ นำไปชี้แจงประเทศของตัวเอง โดยจะเปิดโอกาสให้ทูตต่างประเทศซักถามข้อสงสัย โดย ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท. จะกล่าวเปิดการชี้แจงวัตถุประสงค์ ส่วนวันที่ 14 พ.ย.จะเชิญเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ จำนวน 96 ประเทศ มารับฟังแนว ทางการปฏิรูปประเทศของ สปท. ที่กระทรวงการ ต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลไปชี้แจงให้นานาประเทศรับทราบ


นายกฯโปรโมตโขน “ศึกอินทรชิต”

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุมที่หน้าตึกบัญชาการ 1 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำ สำนักนายกฯ พร้อมนายอนุชา ทีรคานนท์ ผู้ช่วย ผอ.ผลิตการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นำคณะนักแสดงโขนรามเกียรติ์ ชุด “ศึกอินทรชิต ตอน พรหมาศ” ประจำปี พ.ศ.2558 เข้าพบเพื่อเชิญนายกฯและ ครม.ร่วมชมการแสดงและร่วมรับเสด็จสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 5 พ.ย. ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยนายกฯขอให้ช่วยกันบอกกันปากต่อปากให้มาดูโขนบ้าง ไม่ใช่สนใจแต่ดาราในทีวี จะจัดแสดงระหว่างวันที่ 7 พ.ย.-6 ธ.ค. โดยคณะผู้จัดมอบ “เทพพระจันทร์” หรือ “พระจันทร์ทรงรถ” ประติมากรรมที่จัดทำขึ้นมอบให้นายกฯเป็นที่ระลึก เนื่องจากความหมายเดียวกับนามสกุลนายกฯ “จันทร์โอชา” พร้อมอธิบายว่าพระจันทร์ทรงรถอยู่ในบทหนึ่งของการแสดง ที่พระรามยิงศรไปที่พระจันทร์ทรงรถ เพื่อขอไปช่วยพระลักษมณ์

หยอกหนุมานอย่าพูดมากฟังซะบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯได้อธิบายลักษณะของแต่งตัวละครในรามเกียรติ์ ทั้งพระราม พระลักษมณ์ อินทรชิต และหนุมาน พร้อมกับให้ผู้เล่นเป็นหนุมานแสดงท่าทางต่างๆ ทั้งตีลังกา หิวข้าว หัวเราะ และให้ทำท่าฟัง ระหว่างที่หนุมานนำมือมาแนบหูทำท่าฟัง นายกฯได้พูดหยอกล้อว่า “ท่านี้เป็นท่าอย่าพูดมาก ให้ฟังซะบ้าง การฟังการพูดจะต้องทำไปพร้อมๆ กันด้วย” และนายกฯได้ชี้ที่เสื้อที่ตัวเองสวม เป็นเสื้อผ้าไหมสีฟ้าทรงพระราชทาน พร้อมกับกล่าวว่า “รู้ไหมทำไมวันนี้ใส่เสื้อสีฟ้า เพราะเป็นการแสดงโขนในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”

“บิ๊กตู่” ฉุนแจงวาทะปิดประเทศ

ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการประชุม ครม.ถึงการปราศรัยในการประชุมมอบนโยบายแม่น้ำ 5 สาย ที่คำว่าปิดประเทศว่า ขอร้องสื่อทุกสื่อว่า อย่าขายความขัดแย้ง เพราะถ้าขายความขัดแย้งเหมือนกับขายประเทศของท่านเอง ขอบอกเลยไม่ต้องมาว่าตนพูดเสียหายหรือตนพูดแล้วหุ้นตก หุ้นมันตกมากี่วันแล้ว เขารู้สิ่งที่ตนพูดความหมายคืออะไร ตนอยากจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่มีใครอยากทำหรอก พูดแต่เพียงว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นจะต้องไปถึงขั้นนั้นก็ตามใจ ใช่ไหมเล่า ชอบเอาประเด็นเหล่านี้ไปลง แทนที่จะมาสอนคนว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะดี ตนจะได้ไม่หงุดหงิด ก่อนวันที่ 22 พ.ค.มันเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า การใช้จ่าย งบประมาณทำไม่ได้ มันปิดหรือยังประเทศ มาประท้วงทั้งประเทศปิดหรือยัง นักท่องเที่ยวไม่มาเพราะอะไร มันปิดอยู่แล้ว ตนพูดถึงว่าถ้ามันไม่ช่วยกันตรงนั้น จะกลับไปปิดอย่างวันนั้นไม่ใช่ตนจะไปปิด จะปิดทำไมเล่า เอ้อ! คือมองต่อต้านทุกเรื่อง แม้กระทั่งพวกกันก็ต่อต้าน แล้วบอกเป็นพวกอย่างนี้เป็นพวกตรงไหนวะเนี่ย อะไรที่พูดนิดๆหน่อยๆผิดเติมขยายเข้าไปเรื่อย ตนก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าตนเป็นคนขี้หมากาไก่จะด่าก็ด่ามาเถอะ ถ้าตนไม่ทำอะไรมาแสวงประโยชน์ก็ด่ามารับได้ทั้งหมด แต่นี่ทุ่มเททุกอย่าง แล้วมาว่าทุกวันอย่างนี้ จับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาว่าให้คนอื่นมาคอมเมนต์ด่ามันใช่ไหมล่ะ มันน่ารังเกียจ

โบ้ยสื่อพูดในสภาแหกเอาไปข้างนอก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “วันนี้ผมตอบเคลียร์เรื่องปิดประเทศก็ตอบแล้ว ใครจะไปประกาศปิดวะ ถ้าหุ้นมันตกมันตกเพราะสื่อ ฉันพูดของฉันในสภา บางเรื่องเป็นเรื่องที่พูดได้ข้างใน แต่ก็ชอบแหกเอาไปข้างนอก พูดในสภาเขาพูดได้หมด คุณไม่เคยฟังหรือไง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พูดแย่กว่าตนอีกหลายเรื่องยังฟังได้เลย คนสนใจแต่เรื่องแบบนี้เหรอ ไม่สนใจเรื่องเปิดประเทศเหรอ” ผู้สื่อข่าวระบุว่าคนตกใจที่ได้ยินคำพูดปิดประเทศ นายกฯ ตอบว่า จะขี้ตกใจอะไรนักหนา ถ้าประชาชนสงสัยในคำพูด สื่อก็อธิบายไม่ได้เหรอ ถ้าสื่ออธิบายก็จบ

เมื่อถามว่า ประชาชนอยากฟังคำอธิบายจากนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ถ้าจะให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็แล้วแต่ อยากจะปิดประเทศก็ปิดไป ก็อยู่กันแบบนี้กลายเป็นตนอยากอยู่ หรือตนจะปิดประเทศ แล้วมันปิดได้ไหมเล่า สิ่งที่กำลังทำวันนี้กำลังทำให้เปิดประเทศ ซึ่งมันถูกปิดมานานแล้ว ปิดด้วยความรู้สึก ความเกลียดชัง การทุจริต ไม่โปร่งใส อันนี้ปิดอยู่แล้ว ตนอยากจะเปิดมันอยู่ ก็จะให้มันปิดอีก เพราะการจะเดินหน้าประเทศได้เลือกตั้งได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ไม่ใช่ตนแล้ว พยายามทำให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ แต่ท่านก็ไปตรงโน้นค้านตรงนี้ค้าน ถ้าทุกภาคส่วนไม่เข้าใจว่าปัญหาบ้านเราอยู่ตรงไหน ทำนายได้เลยไม่มีวันสำเร็จปรามาสไว้ตั้งแต่วันนี้เลย ไม่มีสำเร็จหรอก เพราะทุกคนจะเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ไอ้พวกหนึ่งจะเอาประชาธิปไตย ไอ้พวกหนึ่งเอาเลือกตั้งอย่างเดียว

เมินดาวตกบ่นลากยาวไปก็ไลฟ์บอย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่มีโหรทำนายเหตุการณ์ดาวตกว่า ดาวตกก็ตกไปสิ แล้วมีที่ไหนที่จะเป็นดาวขึ้น ไม่ต้องสนใจอะไรกันมากหรอกเรื่องนี้ สนใจเรื่องทำความดีกันเถอะ ตนไม่เคยเชื่อโน้นเชื่อนี้อะไรแต่อะไรที่เขาบอกว่าไม่ดีเตือนมา ก็ถือเป็นเรื่องดีจะได้ระมัดระวัง แต่ไม่ใช่ไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นไปทั่ว ไม่ใช่ไปดูถูกโหรหรือคนที่ออกมาทำนาย ไม่เคยไปลบหลู่ แต่ขอร้องว่าให้มีหลักการกันหน่อย จะเชื่อไสยศาสตร์หรืออะไรสื่อมักไปเชื่อว่าตนเชื่อไสยศาสตร์นี่นั่น ทั้งเรื่องการแต่งตัวเขียนกันเป็นตุเป็นตะ เมื่อถามว่า นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือโหร คมช. ทำนายว่านายกฯจะดวงดีอยู่ยาว ใครก็ทำอะไรไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ท่านก็พูดของท่านก็ให้พูดไป เกี่ยวอะไรกับผม ท่านบอกว่าผมจะดวงดีก็ดีสิ ดีไป แต่ถ้าเขาบอกว่าดวงไม่ดีก็ไม่ดี ต้องระวังตัว” เมื่อถามย้ำว่า แต่โหร คมช.ทำนายว่านายกฯจะอยู่ในตำแหน่งยาว พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ไม่ยาว ไม่สั้นหรอก ก.ค. 60 ก็ไปแล้ว เขาเขียนกฎหมายไว้อย่างนั้น จะไปอะไรอย่างอื่นคงไม่ได้ อยู่ไปก็ไลฟ์บอย”

“บิ๊กหมู” ย้ำทหารไม่มีสี-ไม่แบ่งข้าง

เมื่อเวลา 11.30 น.ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพภาคที่ 1 พร้อมมอบนโยบายโดยมี พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 1 ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ พล.อ.ธีรชัย กล่าวให้โอวาทกำลังพลตอนหนึ่งว่า กองทัพภาคที่ 1 ถือเป็นหน่วยหลัก ต้องไปสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบให้ทราบถึงเจตนาดีของรัฐบาลในการบริหารประเทศให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เราจะมาทะเลาะกันอีกไม่ได้ เราจะไม่มีข้างใดๆ เรามีข้างเดียวคือประเทศไทย ขอฝากกำลังพลทุกนายให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงเจตนาต่างๆด้วย

ต่อมาเวลา 13.00 น. พล.อ.ธีรชัย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายส่วนราชการภายใต้ กอ.รมน. และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) กองทัพภาคที่ 1 โดยมีผู้ว่าฯ 26 จังหวัดภาคกลาง ผู้อำนวยการเขต 50 เขตใน กทม. สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม จากนั้นนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผวจ.นครนายก เปิดเผยว่า ผบ.ทบ.เน้นย้ำให้ศูนย์ดำรงธรรม กกล.รส. และ กอ.รมน.บูรณาการการทำงานร่วมกันไม่มีฝักมีฝ่าย เสมือนเพื่อนกัน และย้ำการทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องร่างรัฐธรรมนูญว่าทุกฝ่ายต้องการให้เป็นรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน

พท.โวย “ปู–บุญทรง” มีสิทธิสู้คดีข้าว

อีกเรื่อง นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีหัวหน้า คสช.ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 คุ้มครองและยกเว้นความผิดให้เจ้าหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าวว่า การกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต นอกจากไม่จริงแล้วยังกล่าวหาขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล กฎหมายยังสันนิษฐานว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ย่อมมีสิทธิสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วนการทำสัญญาขายแป้งมันสำปะหลังให้กับ Guangxi Mingyang Biochemical Science & Technology ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของมณฑล เป็นแบบเดียวกับที่มาซื้อข้าวสมัยนายบุญทรง และเป็นแบบเดียวกับที่ซื้อยางพาราสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อ้างว่าขายข้าวให้ผู้ใกล้ชิดหรือมีข้าววนอยู่ในประเทศ เป็นข้อเท็จจริงในคดีที่ถูก ป.ป.ช.กล่าวหา ต้องไปพิสูจน์ในศาลอยู่แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้เป็นหญิงแต่กล้าหาญ ช่วยชาวนาสุดความสามารถจนถูกกลั่นแกล้ง ถูกยึดอำนาจและถูกดำเนินคดีก็ไม่หนี ยอมเดินเข้าศาลพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่คำสั่งคสช.ให้เจ้าหน้าที่และเครือข่าย ไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำใดๆ ถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ขัดต่อหลักนิติธรรม เท่ากับเลือกปฏิบัติ สร้างสองมาตรฐานที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกเสียเอง

ซัดปิดกั้นสิทธิผู้เสียหายฟ้องร้อง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่าการใช้มาตรา 44 ในคดีจำนำข้าวเพื่อคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานที่สุจริต และไม่คิดกลั่นแกล้งใคร เพราะถ้าคิดกลั่นแกล้งก็ยึดทรัพย์ไปแล้วว่า การนิรโทษกรรมล่วงหน้า เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง เพราะปิดกั้นผู้เสียหายไม่ให้มีหนทางเรียกร้องสิทธิ การอ้างว่าใช้มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานนับข้าว ขายข้าว ระบายข้าว และเป็นคนละประเด็นกับคดีจำนำข้าวที่อยู่ในศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผล รับฟังไม่ได้โดยสิ้นเชิง คดีจำนำข้าวที่อยู่ในศาลแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกัน แยกไม่ออก ขาเข้าคือการรับจำนำข้าว ขาออกคือการระบาย การพิจารณาคดีในศาลต้องพิจารณาเอกสารหลักฐานทั้ง 2 ส่วนเกี่ยวเนื่องกัน จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา

“บิ๊กตู่” โอ่งัดอำนาจสว่างช่วยคนสุจริต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 39/2558 โดยใช้อำนาจมาตรา 44 ให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องในคดีทุจริตจำนำข้าวว่า “กะอีแค่เขียนว่าถ้าการกระทำโดยสุจริต กรรมการเขาไปตรวจสอบโดยสุจริต ไม่ได้ไปเอนเอียง เข้าข้าง ให้ร้าย ทั้งหมดเป็นไปตามหลักฐานทั้งสิ้น ที่คุ้มครองเขาเพราะเขากลัวอำนาจมืด ผมก็เอาอำนาจสว่างไปช่วยเขาแค่นั้นเอง ไม่ใช่ว่าไปตรวจสอบให้มันผิดให้ได้ ถึงคณะกรรมการทำออกมาแล้ว เขายังมีสิทธิไปสู้ในศาลปกครองอีก มีที่ไหนเขาให้บ้าง อำนาจแบบที่ผมมี ทำไมไม่เขียนแบบนี้ เขียนกันอยู่ได้จนประชาชนลุกขึ้นมาใหม่ หาว่าผมไปรังแกเขา จะไปรังแกได้อย่างไร ถ้าไม่มีมูลก็ไม่ต้องถูกฟ้อง จะไปโทษใครก็ไม่ได้ แต่มีมูลต้องไปสู้คดีเอา ถ้าสู้ชนะมันก็จบ เขาอยู่กันอย่างนี้ไม่ใช่หรือประเทศไทย”

“วิษณุ” โต้ถูกบิดเบือนกลั่นแกล้ง “ปู”

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า ในที่ประชุม ครม.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯได้ชี้แจงคดีโครงการจำนำข้าวที่เป็น 1 ใน 12 คดีที่นายกฯสั่งการให้นายวิษณุติดตามคดี ทั้งที่รัฐบาลเป็นโจทก์และจำเลย โดยนายวิษณุใช้เวลากว่า 45 นาที ชี้แจงคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวมีอะไรบ้าง รวมถึงข้อสงสัยต่างๆ โดยเฉพาะกรณีที่มีคนไปบิดเบือนว่าเป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม ทุกคำถามและข้อสังเกตต่างๆ มีคำตอบที่ชัดเจนว่าด้วยข้อกฎหมาย โดยเฉพาะเหตุผลที่ใช้คำสั่งทางปกครอง ส่วนเหตุผลที่ไม่รอคดีอาญา เนื่องจากมีอายุความ 2 ปี ตั้งแต่ปี 39 มีการใช้คำสั่งทางปกครองไปกว่า 3 พันคดีแล้ว คดีจำนำข้าวนายกฯสั่งการให้นายวิษณุและตน แถลงเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชน

สนช.ลงมติสอย “สมศักดิ์” 13 พ.ย.

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่รัฐสภา นพ.เจตน์ ศิริธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงผลประชุมวิป สนช.ว่า ในการประชุม สนช.วันที่ 5 พ.ย. มีวาระการพิจารณาคดีถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ กรณีร่ำรวยผิดปกติ สร้างบ้านมูลค่า 16 ล้านบาท ที่ จ.อ่างทอง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นเรื่องให้ สนช.ถอดถอน โดยจะเป็นขั้นตอนตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการซักถาม สนช. ซึ่งจะซักถามคู่กรณีทั้งสองฝ่ายคือ ป.ป.ช. และนายสมศักดิ์ ขณะนี้มี สนช.ยื่นข้อซักถามทั้งหมด 24 คำถาม เป็นคำถาม ป.ป.ช. 11 คำถาม และนายสมศักดิ์ 13 คำถาม จากนั้นคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะแถลงปิดสำนวนในวันที่ 12 พ.ย. และนัดลงมติถอดถอนในวันที่ 13 พ.ย.

“บิ๊กป๊อก” คุมเข้มโกงงบฯตำบล

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีกระแสข่าวบางพื้นที่ทุจริตเรียกเก็บค่าหัวคิวเพื่อผ่านการอนุมัติในโครงการงบประมาณตำบลละ 5 ล้านบาท จนทำให้โครงการที่ชุมชนเสนอมาไม่ผ่านการอนุมัติว่า ยอมรับว่าขั้นตอนกลั่นกรองโครงการต้องผ่านการพิจารณาหลายระดับและหลายหน่วยงาน ตั้งแต่คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ไปยังระดับอำเภอและจังหวัด โดยร่วมพิจารณากับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม สมาคมหอการค้า และขั้นตอนสุดท้ายสำนักงบประมาณใน 18 เขตพื้นที่ทั่วประเทศเป็นผู้ตัดสินใจ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่อย่างแท้จริง จึงอยากขอให้เชื่อมั่นในระบบ ไม่ได้เป็นอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์ และถ้าตนรู้ใครทำผิด จะดำเนินการทันที

ตั้ง “วรพงษ์” นั่ง คกก.ยุทธศาสตร์ฯ

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติแต่งตั้ง พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เป็นกรรมการในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพิ่มเติม และนายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

คลอด พ.ร.ก.แก้ประมงผิดกฎหมาย

นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.ก.การประมง กำหนด 5 มาตรการการแก้ไขและป้องกันการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไทยอยู่ในสภาวะใบเหลืองของการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและขาดการควบคุมหรือไอยูยู สาระสำคัญคือ 1.เอาระบบอนุญาตมาใช้แบ่งโซนการทำการประมง ขนาดของเรือ โดยห้ามการทำประมงข้ามเขต หรือประมงผิดประเภท 2.มาตรการควบคุมและเฝ้าระวัง ให้ติดเครื่องมือติดตามที่อยู่ของเรือ 3.มาตรการตรวจสอบเมื่อเรือเทียบท่า จำนวนปลาที่จะถ่ายขึ้นท่า 4.ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ตรวจสอบที่มาของสัตว์น้ำได้ 5.ระบบว่าด้วยการใช้กฎหมายบังคับลงโทษ

นายวิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เรือประมงที่ผิดกฎหมายต้องเอาออกไป ต้องลดเรือประมง และกำหนดวันเวลาการดำเนินการ จะประเมินให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน


“ประยุทธ์” เปิดตลาดโอทอปสู่เออีซี

เมื่อเวลา 17.00 น.ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เป็นประธานเปิดตลาด “OTOP TO AEC มรดกของแผ่นดินจากท้องถิ่นสู่สากล” ที่จะจัดไปจนถึงวันที่ 25 พ.ย. โดยมี ครม. ผู้นำเหล่าทัพ และเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ตลอดจนประชาชนเข้าร่วม โดยนายกฯกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า วันนี้มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อค้าแม่ค้าที่นำสินค้ามา ตนกังวลว่าวันข้างหน้าจะมีแต่คนขายแต่ไม่มีคนซื้อ การขายของและการพัฒนาถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องทำให้คนในชุมชนเกิดความเข้มแข็งให้ได้ก่อน “ของบางร้านดีนะกลิ่นหอม น่าใช้แต่ว่ากล่องยังไม่สวย เหมือนกับคนจูบหอมแต่รูปไม่สวย เราต้องทำให้รูปสวยและจูบหอม” ทั้งนี้ตลาด “OTOP TO AEC มรดกของแผ่นดินจากท้องถิ่นสู่สากล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ยื่นสอบรองผู้ว่าฯ กทม.รวยผิดปกติ

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อประธาน ป.ป.ช.ผ่าน พ.ต.อ. อิทธิพล กิจสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบนายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่และร่ำรวยผิดปกติ หลายกรณี อาทิ จัดซื้อเครื่องจักรกลราคาแพงเกินจริง มีนายหน้าติดต่อซื้อขายตำแหน่ง เรียกรับเงินการแต่งตั้งโยกย้ายหัวหน้าฝ่ายโยธาเขตต่างๆ การจ้างเหมาก่อสร้างสวนสาธารณะและลานกีฬาเฉลิมพระเกียรติ วงเงิน 71 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้งานสนิทกับรองผู้ว่าฯ กทม. การที่นายจุมพลเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะเยอรมนีและฝรั่งเศส มีบริษัทจ่ายค่าใช้จ่ายเดินทางให้ อาจเข้าข่ายเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนซื้อเครื่องจักรกลหรือไม่ โดยนายวิลาศกล่าวว่า ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเรื่องเหล่านี้เพราะเห็นว่ามีพฤติกรรมผิดปกติ ตนพร้อมให้ข้อมูล ป.ป.ช.

นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า พร้อมให้ตรวจสอบ ที่ผ่านมาได้แสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่สมัยเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ และรายงานมาโดยตลอด ส่วนการแต่งตั้งโยกข้าราชการ กทม. ตนไม่มีอำนาจแต่งตั้งใคร ผู้มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการคือผู้ว่าฯ กทม. และปลัด กทม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น