วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

13.พัฒนาการทางด้านสังคมวัฒนธรรมของอยุธยา

13.พัฒนาการทางด้านสังคมวัฒนธรรมของอยุธยา
พัฒนาการทางด้านสังคม
     สภาพสังคมในสมัยอยุธยา  เป็นแบบระบบศักดินา  ซึ่งจะเป็นตัวแบ่งสิทธิ  หน้าที่และความรับผิดชอบของคนในสังคม  ผู้ที่มีศักดินาสูงก็จะมีสิทธิ หน้าที่  และความรับผิดชอบสูง  ผู้ที่มีศักดินาต่ำก็จะมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบน้อยลดหลั่นกันตามศักดินาที่ได้รับ  พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้พระราชทานศักดินาให้แก่เจ้านาย  ขุนนาง  และราษฎร
     1.  กลุ่มคนในสังคม
          กลุ่มคนในสังคมอยุธยาแบ่งได้ 2 ลักษณะ  ดังนี้
          1.1  ชนชั้นผู้ปกครอง
                    1)  พระมหากษัตริย์  เป็นประมุขสูงสุดของอาณาจักร  ทรงมีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินการทุกอย่าง  มีหน้าที่ดูแลราษฎรให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
                    2)  เจ้านาย  เป็นชนชั้นที่มีฐานะรองจากพระมหากษัตริย์  เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์  มีตำแหน่งลดหลั่นกันตามพระยศ  มีหน้าที่ช่วยพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมือง
                    3)  ขุนนาง  เป็นบุคคลที่ถวายตัวเข้ารับราชการ  มีหน้าที่ช่วยพระมหากษัตริย์ดูแลปกครองบ้านเมือง  ควบคุมดูแลราษฎร  ตามตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
          1.2  ชนชั้นผู้ถูกปกครอง
                    1)  ไพร่  หมายถึง  ราษฎรทั่วไป  เป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคม  ไพร่ที่เป็นชายต้องขึ้นสังกัดมูลนายตามกรมกองแห่งใดแห่งหนึ่ง  และมีหน้าที่รับใช้บ้านเมือง  แบ่งออกเป็น 3 ประเภท  ดังนี้
                         -  ไพร่หลวง  คือ  ชายฉกรรจ์ที่สังกัดอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ มีหน้าที่ทำงานรับใช้บ้านเมืองปีละ 6 เดือน  ไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานต่าง ๆ เช่น  สร้างวัด  สร้างวัง  ป้อมปราการ  และถูกเกณฑ์ไปรบยามเกิดสงคราม
                         -  ไพร่สม  เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่มูลนายตามศักดินา  เมื่อเกิดศึกสงครามก็ถูกเกณฑ์ไปรบ
                         -  ไพร่ส่วย  เป็นไพร่หลวงที่ส่งสิ่งของมาแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน  สิ่งของที่ไพร่ส่วยส่งมาส่วนใหญ่เป็นสิ่งของสำคัญ  เช่น  มูลค้างคาว  ดีบุก  ของป่า  เป็นต้น
                         ชนชั้นไพร่สามารถเปลี่ยนฐานะของตนเองให้เป็นขุนนางได้  ถ้ามีความสามารถเพียงพอ  และถวายตัวเข้ารับราชการ
                    2)  ทาส  เป็นคนที่ขาดสิทธิในแรงงานและชีวิต  ไม่มีอิสระในการทำสิ่งใดต้องทำงานตามที่นายเงินสั่ง  ถือเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมอยุธยา  มีหลายประเภท  เช่น  ทาสสินไถ่  ทาสในเรือนเบี้ย  ทาสเชลย  เป็นต้น
     2.  สถาบันศาสนา
          กลุ่มบุคคลในสถาบันศาสนา  ได้แก่  กลุ่มพระสงฆ์  เป็นชนชั้นที่มีฐานะทางสังคมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมืองโดยตรง  อาจถือได้ว่า  พระสงฆ์มีสถานภาพใกล้เคียงกับชนชั้นมูลนาย  เพราะได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงานและการเสียภาษีให้แก่รัฐ
          สังคมของพระสงฆ์เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น  ดังนั้นคนทุกคนจึงสามารถเข้ามาเป็นพระสงฆ์ได้  เพื่อทำหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนา  พระสงฆ์ได้รับการยอมรับนับถือจากทุกชนชั้น
          พระสงฆ์ได้รับการยกย้องให้เป็นผู้นำและเป็นที่พึ่งทางใจของชุมชน  และมีบทบาทเชื่อมประสานระหว่างชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
          นอกจากนี้  วัดยังเป็นแหล่งการศึกษาที่สำคัญสำหรับเด็กชาย  พ่อแม่นิยมส่งบุตรหลานไปบวชเป็นเณร  หรือศึกษาเล่าเรียนที่วัด  การศึกษาที่วัดเป็นการหัดอ่าน  เขียน  คิดเลข  และศึกษาหลักธรรมต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา
          ในสมัยอยุธยา  สถาบันศาสนาเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลต่อทุกชนชั้น  พระมหากษัตริย์ทรงเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงเป็นพุทธมามกะ  ทรงสนพระทัยในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ในเขตพระราชวัง  เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  เป็นต้น  อยุธยาจึงมีวัดที่เป็นพระอารามหลวงมากมาย  เช่น  วัดมหาธาตุ  วัดหน้าพระเมรุ  วัดไชยวัฒนาราม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น